เคยสังเกตกันไหมว่าเราวางแผนการเงินแทบทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือเก็บเงินเกษียณ แต่การวางแผนการเงินที่หลายคนละเลยคือการวางแผนสุขภาพ ทั้งที่ความเจ็บป่วยเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้เงินเก็บสะสมทั้งชีวิตหมดไปได้ สาเหตุไม่ได้มาจากโชคร้ายเพียงอย่างเดียว แต่เพราะตอนนี้กำลังเผชิญกับ “เงินเฟ้อทางการแพทย์” (Medical Inflation) ที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราเฉลี่ยสูงถึง 8-10% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและรายได้ของคนส่วนใหญ่หลายเท่าตัว บทความนี้จะมาบอกวิธีว่าควรรับมืออย่างไรเมื่อค่ารักษาพยาบาลกำลังแพงขึ้นทุกๆ ปี
ไขข้อข้องใจ เงินเฟ้อทางการแพทย์ คืออะไร?
เงินเฟ้อทางการแพทย์คือภาวะที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทั้งค่าห้องพัก ค่ายา ค่าตรวจพื้นฐาน ไปจนถึงค่าผ่าตัดใหญ่ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลและนวัตกรรมการรักษา โดยสาเหตุหลักของเงินเฟ้อทางการแพทย์ เช่น
- เทคโนโลยีการแพทย์ล้ำสมัย: เช่น เครื่อง MRI และการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ ซึ่งมีราคาสูง
- บุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง: ที่มีค่าตอบแทนสูงขึ้นตามความเชี่ยวชาญ
- ยาหรือการรักษาแบบใหม่: ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ราคาก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่าง เช่น ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทในวันนี้ อาจพุ่งไปแตะ 147,000-160,000 บาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า ถ้าไม่มีการวางแผนรับมือ คุณอาจต้องเผชิญภาระที่เกินกว่าจะจัดการได้
3 ตัวอย่างค่ารักษาพยาบาลของโรคร้ายแรงที่มีจำนวนสูงมาก
ในโลกที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวัน โรคร้ายแรงอาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด การเจ็บป่วยที่ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ และสิ่งหนึ่งที่ตามมาคือ ค่ารักษาพยาบาล ที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ ซึ่งหลายครั้งตัวเลขที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินกว่าเงินเก็บที่เราสะสมมาทั้งชีวิต อาจทำให้เงินที่หามาต้องหมดไปในพริบตา ลองมาดูตัวอย่างค่าใช้จ่ายสำหรับโรคร้ายแรงที่มักมีตัวเลขสูงลิบลิ่วกัน
- โรคมะเร็งระยะลุกลาม : ค่ารักษาพยาบาลในการรักษาโรคมะเร็งไม่ว่าจะเป็นการฉายรังสี เคมีบำบัด หรือการผ่าตัด อาจสูงถึง 800,000-2,000,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสภาพทางการเงินได้เลย
- ผ่าตัดหัวใจ/บายพาส: สำหรับการรักษาโรคหัวใจซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายแรง การผ่าตัดใหญ่เพื่อรักษาอาการป่วยนั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงอยู่ที่ 500,000-1,200,000 บาท ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการรักษา
- ค่าห้อง ICU โรงพยาบาลเอกชน : นอกจากค่ารักษาเฉพาะทางแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เช่น ค่าห้องโรงพยาบาล โดยเฉพาะห้อง ICU ที่ต้องใช้เครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 30,000- 60,000 บาท และยิ่งพักนาน ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีเงินสำรองหรือการคุ้มครองที่เพียงพอ เงินเก็บที่สะสมมาอาจหายไปหมดในเวลาอันสั้น
13 วิธีเตรียมรับมือ “ค่ารักษาพยาบาล” ที่แพงขึ้นทุกปี
เงินเฟ้อทางการแพทย์เป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็สามารถวางแผนเพื่อไม่ให้มันกระทบชีวิตและสุขภาพทางการเงินของเราจนพังลงได้ ลองดู 13 วิธี ต่อไปนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
การเตรียมพร้อมด้านสุขภาพ
- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อย 1 ครั้ง : การตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เราเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้นและมี ค่ารักษาพยาบาล ที่ถูกกว่าการปล่อยให้โรคลุกลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคร้ายแรง เช่น มะเร็งหรือเบาหวาน ซึ่งมักไม่แสดงอาการในระยะแรก
- บันทึกสุขภาพของตัวเอง : การจดบันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น น้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลง อาการผิดปกติ หรือโรคประจำตัวไว้ จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น
- ศึกษาประวัติโรคในครอบครัว : หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และตรวจคัดกรองบ่อยกว่าปกติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- ตรวจฟันปีละ 1-2 ครั้ง : สุขภาพช่องปากส่งผลต่อร่างกายมากกว่าที่คิด เพราะโรคเกี่ยวกับช่องปากสามารถนำไปสู่โรคหัวใจหรือโรคติดเชื้อร้ายแรงได้ การดูแลสุขภาพฟันจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อลดความเสี่ยงโรคใหญ่ที่มีค่ารักษาพยาบาลสูงลิ่ว
- วางแผนการกินและการออกกำลังกายตามวัย : เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญในร่างกายจะทำงานช้าลง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับสุขภาพในระยะยาว
- อย่ามองข้ามอาการเล็กน้อย : ถ้ามีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือผอมลงผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่ต้องรีบรักษา ยิ่งเจอเร็ว ค่ารักษาพยาบาล ก็ยิ่งถูกลง
การเตรียมพร้อมด้านการเงินและข้อมูล
- มีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือน : เงินสำรองฉุกเฉินเป็นเหมือนเกราะป้องกันทางการเงินยามเจ็บป่วยกะทันหัน ช่วยให้คุณไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินหรือขายทรัพย์สินเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล
- ทำบัญชีรายจ่ายสุขภาพ : การแยกค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพออกมา เช่น ค่ายา ค่าตรวจ หรือเบี้ยประกัน จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและจัดการการเงินได้ดียิ่งขึ้น
- ทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง : ค่ารักษาโรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจที่สูงถึงหลักล้าน การมี ประกันสุขภาพ หรือ ประกันโรคร้ายแรง เป็นการช่วยโอนความเสี่ยงทางการเงินไปให้บริษัทประกัน ทำให้เงินเก็บทั้งชีวิตของคุณไม่หายไปในครั้งเดียว
- อัปเดตทุนประกันให้ทันกับค่ารักษาพยาบาล : เบี้ยประกันสุขภาพที่ซื้อไว้เมื่อ 5-10 ปีก่อนอาจไม่เพียงพอต่อค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันที่สูงขึ้น ควรตรวจสอบและปรับทุนประกันให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อทางการแพทย์
- รู้สิทธิการรักษาของตัวเอง : ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง ประกันสังคม หรือประกันเอกชน การรู้สิทธิจะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากสิทธิที่มีได้อย่างเต็มที่และประหยัดค่าใช้จ่ายได้
- แจ้งญาติหรือคนไว้ใจให้เป็น “Contact ฉุกเฉิน”: ควรบอกข้อมูลสำคัญ เช่น โรคร้ายแรง ที่มีประวัติ ยาที่แพ้ หรือสิทธิการรักษา เพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือคุณได้อย่างทันท่วงทีในกรณีฉุกเฉิน
- มีสติและกำลังใจเผื่อวันไม่คาดฝัน : การรักษาและการฟื้นตัวมักได้ผลดีกว่าเมื่อใจพร้อมและมีคนรอบข้างคอยสนับสนุน
ตัวช่วยลดภาระค่ารักษาพยาบาล ด้วยประกันสุขภาพโรคร้ายแรง
นอกจากการวางแผนการเงินและดูแลสุขภาพแล้ว การซื้อประกันสุขภาพโรคร้ายแรงคืออีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ ที่ช่วยโอนภาระค่ารักษาหลักแสนถึงหลักล้านไปยังบริษัทประกัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์จริงจาก 4 บริษัทที่หลายคนคุ้นชื่อ ลองเช็กดูได้เลย
Prudential : PRURokrai Super Koom
แผน PRURokrai Super Koom จาก Prudential Thailand ออกแบบมาเพื่อให้ความคุ้มครองครอบคลุมกว่า 63 โรคร้ายแรง ครอบคลุมทั้งโรคมะเร็ง หัวใจ หลอดเลือดสมอง รวมถึงโรคร้ายแรงอื่น ๆ อีกมากมาย โดยจุดเด่นของ PRURokrai Super Koom คือ
- คุ้มครองโรคร้ายแรงจำนวนมาก ครอบคลุมทั้งระยะเริ่มต้นและรุนแรง
- จ่ายเงินชดเชยเป็นเงินก้อนทันทีเมื่อพบการวินิจฉัยโรคร้ายแรง
- สามารถเลือกปรับทุนประกันได้ตามกำลังการจ่ายเบี้ยและความต้องการของผู้เอาประกัน
- เน้นการคุ้มครองที่ยาวนาน เพื่อเป็นเกราะป้องกันภาระค่ารักษาที่สูงขึ้นทุกปี
- เบี้ยประกันสุขภาพสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
AIA : AIA CI SuperCare
อีกหนึ่งแผนที่คนไทยคุ้นชื่อคือ AIA CI SuperCare ที่ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองโรคร้ายแรงทั้ง 18 โรคในระยะต้น-กลาง และ 44 โรคในระยะรุนแรง รวมถึงความเจ็บป่วยในเด็ก โดยจุดเด่นของ AIA CI SuperCare คือ
- ค่าเบี้ยคงที่ ไม่ขึ้นตามอายุ
- ชำระเบี้ยเพียง 10 ปี แต่คุ้มครองยาวจนถึงอายุ 99 ปี
- ครอบคลุมโรคร้ายแรงหลากหลาย ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงรุนแรง
- เบี้ยประกันสุขภาพสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
MSIG : Cancer Fix
หากกังวลโรคมะเร็งโดยเฉพาะ MSIG Cancer Fix ถือว่าเป็นทางเลือกที่ออกแบบมาเจาะจงเพื่อลดภาระค่ารักษาโรคมะเร็งทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบในระยะเริ่มต้นหรือรักษาในระยะลุกลาม โดยจุดเด่นของ Cancer Fix คือ
- คุ้มครองผู้ที่วินิจฉัยโรคมะเร็งทุกระยะ
- เบี้ยประกันคงที่ตามอายุที่เริ่มทำ
- ครอบคลุมค่ารักษาที่สำคัญ เช่น เคมีบำบัด รังสี การตรวจติดตาม
- เบี้ยประกันสุขภาพสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
Muang Thai Life Assurance : D Health Plus
แผน D Health Plus จากเมืองไทยประกันชีวิต มอบความคุ้มครองแบบเหมาจ่าย (Lump-sum) สูงสุด 1-5 ล้านบาท/ครั้ง ครอบคลุมการรักษาทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) รวมถึงโรคร้ายแรงและอุบัติเหตุ จุดเด่นของ D Health Plus ได้แก่
- คุ้มครองค่ารักษาแบบเหมาจ่ายตามจริงสูงสุด 5 ล้านบาทต่อครั้ง
- เลือกกำหนด Deductible เริ่มต้นจาก 0-100,000 บาท เพื่อปรับให้เหมาะกับงบเบี้ย
- ซื้อเป็น Rider เสริมกับกรมธรรม์หลัก (ประกันชีวิต) ได้
- มีตัวเลือกเสริมเพิ่มเติม เช่น Care Plus, OPD, Maternity Plus, Well-Being Plus
- เบี้ยประกันสุขภาพสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
วางแผนวันนี้ เพื่อรับมือค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นทุกปี
“เงินเฟ้อทางการแพทย์” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และส่งผลโดยตรงต่อ ค่ารักษาพยาบาล ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากเราไม่วางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ ความเจ็บป่วยเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปในพริบตา การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การเตรียมเงินสำรอง และการทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงที่ครอบคลุม คือทางออกสำคัญที่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ต่อให้ค่ารักษาพยาบาลจะพุ่งสูงขึ้นแค่ไหน ก็ยังสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
ขอบคุณข้อมูลจาก :
infoquest, tokiomarine, bangkokbiznews , lumahealth , medigence, pacificprime