Home / บทความทั้งหมด / เงินเฟ้อ ปี 2569 ทำไมของยังแพง? เปิดเหตุผลราคาขึ้นแล้วไม่ลง พร้อมวิธีรับมือ

เงินเฟ้อ ปี 2569 ทำไมของยังแพง? เปิดเหตุผลราคาขึ้นแล้วไม่ลง พร้อมวิธีรับมือ

เงินเฟ้อ เศรษฐกิจแย่

 

หลายคนคงได้ยินข่าวมาว่าปี 2569 นี้อัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงแล้ว แต่ในชีวิตจริงทุกอย่างแพงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งราคาอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการ หรือราคาเล็กๆ น้อยๆ อย่างค่าชานมไข่มุก ค่าก๋วยเตี๋ยวที่เมื่อปรับราคาไปแล้วไม่ลดลงมาเลย บทความนี้จะพาไปดูว่าอะไรทำให้ “ราคาขึ้นแล้วไม่ลง” และทำไมเงินที่เราหามามีค่าลดลงเรื่อย ๆ เพื่อให้คุณเข้าใจกลไกเงินเฟ้อ และวางแผนการเงินรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เงินเฟ้อ คืออะไร ทำไมของขึ้นราคา

ชวนรู้จักว่า เงินเฟ้อ คืออะไร? ทำไมถึงทำให้เงินของมีค่าลดลง

เงินเฟ้อ (Inflation) คือภาวะที่ “ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป” ผลลัพธ์ที่ตามมาคือมูลค่าของเงินที่คุณถืออยู่มันลดลง หรือลองคิดง่ายๆ คือ แม้คุณจะถือเงินจำนวนเท่าเดิม แต่เงินจำนวนนั้นกลับซื้อของได้น้อยลง เช่น วันนี้เงิน 100 บาท ซื้อของได้น้อยกว่าเมื่อ 5 ปีก่อน แม้จะเป็นเงินจำนวนเท่าเดิมก็ตาม ซึ่งนี่คือผลโดยตรงที่ทำให้อำนาจซื้อ (Purchasing Power) ของคุณลดลง หรือพูดง่ายๆ คือ เงินก้อนเดิมซื้อของได้น้อยลงกว่าเมื่อก่อน ความจริงแล้ว เงินเฟ้อเกิดขึ้นได้ในทุกระบบเศรษฐกิจ แต่ปัญหาใหญ่ของเราคือ “รายได้เราโตช้ากว่าค่าครองชีพ” ทำให้หลายคนรู้สึกว่าต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดมากขึ้น แม้จะทำงานหนักเท่าเดิมก็ตาม

เงินเฟ้อ ประเทศไทย 2569

เงินเฟ้อ เกิดจากอะไร? เช็ก 2 กลไกที่ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น

ทำไมราคาสินค้าถึงต้องขึ้นไม่หยุด หลายคนอาจสงสัยแบบนี้กันอยู่ ซึ่งการขึ้นราคาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีแรงผลักดันหลักๆ ในระบบเศรษฐกิจอยู่ 2 ทางที่ทำงานแข่งกัน ซึ่งมีผลต่อราคาสินค้าที่คุณเจอในชีวิตประจำวันอย่างมาก ซึ่ง 2 กลไกลที่ทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้น คือ

Demand-Pull Inflation : เมื่อคนอยากซื้อเยอะกว่าของที่มี

กลไกนี้จะทำงานเมื่อเศรษฐกิจดี คนมีเงินเยอะ มีความมั่นใจในการใช้จ่ายสูง จึงเกิดความต้องการซื้อสินค้าและบริการแบบถล่มทลาย แต่สินค้าในตลาดผลิตตามไม่ทัน ทำให้คนอยากซื้อเยอะกว่าของที่มีขาย (หรือที่เรียกว่าอุปสงค์ (Demand) สูงกว่าอุปทาน (Supply)) ราคาจึงพุ่งขึ้นทันที เช่น ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวใหญ่ๆ ราคาโรงแรมจะขึ้นแพงลิบลิ่ว เพราะคนแห่จองพร้อมกัน เป็นต้น

Cost-Push Inflation : เมื่อต้นทุนบีบให้ร้านต้องขึ้นราคา

อีกหนึ่งกลไกที่ส่งผลกระทบต่อเราชัดเจนในช่วงปี 2566-2569 เพราะต้นทุนการผลิตและบริการของธุรกิจสูงขึ้นพร้อมกันจนผู้ประกอบการแบกรับไม่ไหว และต้องผลักภาระนั้นมาให้ผู้บริโภคจ่ายแทน โดยตัวอย่างต้นทุนสำคัญ เช่น ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง และวัตถุดิบอาหารที่แพงขึ้น เมื่อต้นทุนเหล่านี้ขึ้น ราคาหน้าร้านก็ต้องปรับขึ้นตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความจริงที่ต้องรู้เมื่อ เงินเฟ้อ ลดลง แต่ทำไมราคาของไม่ลด?

การที่เงินเฟ้อลดลงไม่ได้แปลว่าราคาต่างๆ จะกลับมาถูกลง สิ่งที่เราเห็นคือ: ราคายังเพิ่มอยู่ แต่เพิ่มในอัตราที่ช้าลง เหมือนรถที่เคยขับเร็วมาก เช่น 120 กม./ชม. และลดความเร็วลงเหลือ 80 กม./ชม. แต่มันก็ยังวิ่งไปข้างหน้า ไม่ได้เบรกหรือถอยหลัง และราคาในชีวิตจริงไม่ยอมลดลงเพราะ 3 ปัจจัย คือ

Sticky Price ราคาขึ้นง่าย แต่ลงยากมาก

Sticky Price หมายถึงราคาที่ขึ้นง่ายแต่ลงยากมาก แม้ต้นทุนจะลดลงแล้วก็ตาม เพราะธุรกิจต้องชดเชยต้นทุนที่สะสมมาหลายปี และเมื่อลูกค้ายอมรับราคาใหม่ได้แล้ว การลดราคาลงย่อมทำให้กำไรหายไปโดยไม่จำเป็น

  • ต้นทุนสะสม : ธุรกิจต้องชดเชยต้นทุนที่แบกมานานหลายปี
  • ลูกค้าเคยชิน : เมื่อลูกค้าเริ่มยอมรับราคาใหม่แล้ว การลดราคาลงมาอีกจะทำให้กำไรที่ได้กลับมาลดลงอย่างไม่จำเป็น
  • เผื่อความเสี่ยง : พวกเขากลัวว่าถ้าลดราคาไปแล้วเกิดต้นทุนขึ้นมาอีก จะขึ้นราคาซ้ำก็ทำได้ยาก

นี่คือเหตุผลว่าทำไมก๋วยเตี๋ยวราคา 55 บาท จึงไม่มีทางกลับไป 40 บาทได้อีกแล้ว

Core Inflation ตัวที่ทำให้ชีวิตแพงจริงๆ

ถึงตัวเลข Headline Inflation ที่เห็นในข่าวจะดูชะลอลง เพราะราคาน้ำมันหรืออาหารสดปรับตัวลดลง แต่ “ค่าครองชีพจริง” ของเราไม่ได้ลดตามเสมอไป เพราะสิ่งที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ Core Inflation  หรือราคาของใช้จำเป็นที่ไม่ค่อยลด เช่น ค่าอาหารสำเร็จรูป ค่าเช่าบ้าน ค่าแรงงาน หรือค่าบริการต่างๆ ดังนั้น ต่อให้เงินเฟ้อโดยรวมลดลง คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกได้ว่าค่าใช้จ่ายหลักยังสูงอยู่เหมือนเดิม

ต้นทุนสะสมหลายปี หาทางลดลงไม่ได้

ต้นทุนของธุรกิจ เช่น ค่าแรง ค่าไฟ หรือค่าวัตถุดิบ เป็นต้น ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2566-2568 ได้ถูกรวมเข้าไปในราคาขายปลีกแล้ว แม้ในปี 2569 ต้นทุนเหล่านี้จะแค่ “ทรงตัว” แต่ธุรกิจก็ยังไม่มีเหตุผลที่จะลดราคาขายลงทั้งหมด เพราะต้องรักษาความมั่นคงทางการเงินไว้

ของแพง ของขึ้นราคา เงินบามแข็งตัว วิกฤตต้มยำกุ้ง

ค่าใช้จ่ายอะไรที่ทำให้เงินหดหายไปจากเงินเฟ้อ?

เมื่อราคาสินค้าปรับขึ้นแล้วไม่ยอมลดลงตามกลไกที่ได้คุยกันไปข้างต้น สิ่งที่ต้องรู้ต่อคือรายการไหนบ้างในชีวิตประจำวันของคุณที่เข้าข่าย “ขึ้นแล้วขึ้นเลย” และต้องจ่ายมันอยู่ดี เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือตัวการหลักที่บีบให้เงินในกระเป๋าเรามีมูลค่าน้อยลงทุกวัน เช่น

  • ค่าอาหารนอกบ้าน: ข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวที่เคย 40 บาท ตอนนี้ปรับเป็น 60-70 บาท และจะไม่มีวันกลับไปราคาเดิมได้อีก เพราะต้นทุนค่าแรงและวัตถุดิบถูกปรับขึ้นถาวรไปแล้ว
  • ค่าเดินทาง : ทั้งรถไฟฟ้า BTS MRT ที่มีการปรับราคาแบบมีกำหนดตายตัว หรือค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่แม้จะปรับลงบ้าง แต่ราคาตั้งต้นยังสูงกว่าเมื่อหลายปีก่อนมาก 
  • ค่าที่พักอาศัยและค่าเช่า : ค่าผ่อนบ้าน ค่าเช่าคอนโด คือต้นทุนโครงสร้างที่ปรับขึ้นทุกปีตามเงินเฟ้อ โดยเฉลี่ย 3-7% ซึ่งเป็นภาระก้อนใหญ่ที่สุดและหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • ค่าบริการส่วนบุคคล : ค่าทำผม ค่าทำเล็บ ค่าซักผ้า หรือค่าบริการเดลิเวอรี่ ถูกผูกโยงกับต้นทุนค่าแรงของคน ซึ่งเมื่อค่าแรงขั้นต่ำขึ้น ราคาบริการก็ขึ้นตามและคงอยู่ในระดับนั้นตลอดไป

รายได้ที่โตช้ากว่าเงินเฟ้อ คือสาเหตุที่ทำให้ “จนลงแบบไม่รู้ตัว”

นี่คือเรื่องที่ฟังดูน่าเจ็บใจที่สุด คุณทำงานหนักขึ้น เงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตยากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบอยู่ที่ภาวะ “เงินเดือนติดลบ” (หมายถึง เงินเดือนขึ้นน้อยกว่าค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจริง) แม้เงินเดือนคุณจะเพิ่มขึ้น 3% แต่ถ้าค่าครองชีพจริง เพิ่มถึง 5% นั่นแปลว่า อำนาจซื้อที่แท้จริงของคุณลดลง 2% นี่คือช่องว่างที่ทำให้คุณทุกคนรู้สึกว่ามีเงินมากขึ้น แต่กลับใช้ชีวิตได้แย่ลง ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออำนาจในการใช้จ่ายลดลง เพราะรายจ่ายประจำกินพื้นที่งบประมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการออมลดลง และความยืดหยุ่นทางการเงินหายไป ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่หลายคนรู้สึกว่าปี 2569 ต่อจากนี้จะใช้ชีวิตยากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

วิธีรับมือเงินเฟ้อ

วิธีรับมือกับ เงินเฟ้อ กับ 5 กลยุทธ์จัดการเงินที่ต้องทำทันที

คุณอาจจะควบคุมทิศทางเศรษฐกิจหรือทำให้ราคาข้าวแกงลดลงไม่ได้ แต่ยังสามารถควบคุมการเงินให้แกร่งขึ้นได้ เพื่อให้เงินที่หามาวิ่งได้เร็วกว่าค่าครองชีพที่ขึ้นไม่หยุด ลองดู 5 กลยุทธ์ที่ต้องเริ่มทำทันที

  • แยกค่าใช้จ่ายจำเป็นและไม่จำเป็น : ลองตัดรายจ่ายยืดหยุ่นที่ตัดได้ก่อน เช่น ลดการสั่งเดลิเวอรี่ที่ไม่จำเป็น หรือลดค่าสมัครสมาชิกที่ไม่ค่อยได้ใช้
  • สร้างรายได้เสริม (Side Income) : อย่าพึ่งพาแค่การขึ้นเงินเดือน เพราะมันไม่พอสู้เงินเฟ้อ การหาทางเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็นสิ่งจำเป็น
  • เก็บเงินไว้ในสินทรัพย์ที่โตเร็วกว่าค่าครองชีพ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนตลาดเงิน หรือการลงทุนระยะยาวในหุ้น/กองทุนรวม เพื่อให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อในระยะยาว
  • บันทึกรายจ่ายเพื่อตรวจสอบการเงิน : ใช้แอปพลิเคชันหรือสมุดบัญชีเพื่อดูว่าเงินรั่วไหลไปกับอะไรบ้าง การรู้จุดรั่วจะช่วยให้ปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายได้ถูกจุดมากที่สุด
  • ควบคุมหนี้ดอกเบี้ยสูง : ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น การจ่ายแค่ขั้นต่ำของหนี้บัตรเครดิตจะทำให้ภาระหนี้เติบโตเร็วมาก ควรเร่งปิดหนี้ดอกเบี้ยแพงเหล่านี้ให้เร็วที่สุด

เงินเฟ้อ ปี 2569 ไม่ได้ดีขึ้นจริง แค่ “ขึ้นช้าลง” แต่ยังขึ้นอยู่ดี

แม้เงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ราคาสินค้าไม่ได้ลดลงตาม เพราะเมื่อราคาปรับขึ้นแล้ว ธุรกิจมักไม่ลดกลับ ทำให้ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงเหมือนเดิม ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการวางแผนการเงินให้พร้อมรับราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปในอนาคตนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน

Droplead New

Let us know who you are